วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559

บทเรียนที่ 5 จักรราศีแห่งดวงชะตา

     ารแบ่งจักรราศี จะแบ่งออกเป็นวงกลม ที่เป็นวงกลมด้วยเหตุผลว่า วิถีการโคจรของโลกบนท้องฟ้า แล้วมาเขียนลงบนกระดาษ และแบ่งวงกลมนี้ออกเป็น 12 ส่วน แต่ละส่วนที่แบ่งออกมานั้นเรียกว่า ราศี แต่ละราศีมีชื่อกำหนดเรียกไว้ ดังนี้ เริ่มต้นที่ เมษ และวนทวนเข็มนาฬิกาไป พฤษภ มิถุน กรกฏ สิงห์ กันย์ ตุลย์ พิจิก ธนู มังกร กุมภ์ และสุดท้าย มีน ซึ่งเป็นชื่อเดือนในรอบปีพอดี ทั้งนี้เพราะพระอาทิตย์จะโคจรเข้าประจำราศีตามชื่อเดือน

จักรราศี

ราศีตรงนี้คือตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องจดจำให้ได้เนื่องจากมีผลต่อการพญากรณ์ดวงจรในช่วงของเดือนซึ่งบทเรียนท้ายๆจะอธิบายเรื่องนี้ด้วยครับ และในราศีทั้งหมดนี้จะเริ่มนับราศีเมษที่เลข ๐ นะครับไม่ใช่ ๑ ดังนี้
  1. เมษ           ๐
  2. พฤษก       ๑
  3. มิถุน          ๒
  4. กรกฏ        ๓
  5. สิงห์          ๔
  6. กันย์          ๕
  7. ตุลย์          ๖
  8. พิจิก          ๗
  9. ธนู             ๘
  10. มังกร         ๙
  11. กุมภ์          ๑๐
  12. มีน            ๑๑

บทเรียนที่ 4 ดาวศุภเคราะห์และบาปเคราะห์

     ดาวที่ใช้ในโหราศาสตร์จะถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ถ้าให้เปรียบเทียบก็อาจจะหมายได้ว่า บุญ บาป คือ


     1.บาปเคราะห์ คำว่าบาปนั้นมาจาก ปาปะ แปลว่า ชั่ว ซึ่งให้ผลรุนแรง ทั้งคุณและโทษ ได้แก่ ดาวอาทิตย์ ดาวอังคาร ดาวเสาร์ ดาวราหู(ไม่มีดาวจริงเป็นเพียงเงาของโลก)


     2.ศุภเคราะห์ คำว่า ศุภะ แปลว่า ดีงาม ซึ่งให้ผลดี แต่ก็มีทั้งร้ายด้วยแต่ผลนั้นจะแสดงออกมาแบบนุ่มนวล เบาบาง ในทางโทษ ส่วนทางคุณผลก็ไม่รุนแรงเท่าบาปเคราะห์เช่นกัน ได้แก่ ดาวจันทร์ ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์

ซึ่งทั้งหมดนี้ยังมีอีก 2 ดวงที่จะใช้ในการพยากรณ์ก็คือ ดาวมฤตยู และ ดาวเกตุ(ไม่มีดาวจริงเช่นกัน)

     การทายผลการพยากรณ์จะให้น้ำหนักของดวงดาวด้วยว่าเป็นดาวบาปเคราะห์หรือศุภเคราะห์ ซึ่งถ้าการให้ผลทางด้านดี ดาวบาปเคราะห์จะให้ผลรุนแรง รวดเร็วกว่าศุภเคราะห์มาก เช่นดาวการเงินเป็นดาวอังคารซึ่งคือดาวบาปเคราะห์เวลาให้ผมด้านการเงินในทางที่ดีจะรวดเร็ว เงินจำนวนมากแต่ต้องแลกกับการต่อสู้ดิ้นรนตามหมายความของดาวอังคารนั้นคือบาปเคราะห์ แต่ถ้าศุภเคราะห์เป็นดาวการเงินแปลว่าดาวการเงินมาเรื่อยๆประเภทเสมือนเงินเก็บแต่จำนวนมันน้อยไม่มากซึ่งมันก็เข้ากับความหมายเป็นดาวแห่งศุภเคราะห์คือไม่ได้ดิ้นรนในการหาเงินมากนักดังนั้นรายได้จึงไม่มากเหมือนดาวบาปเคราะห์ แต่การทายนั้นต้องดูองค์ประกอบในเรื่องของภพเป็นหลักนะครับดาวบาปเคราะห์กับศุภเคราะห์เป็นเพียงความหมายประกอบเท่านั้นไม่ใช่เอาความหมายของศุภเคราะห์ บาปเคราะห์ ไปทายนะครับสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวคือ ภพทั้ง 12 ภพซึ่งจะมีบอกในบทต่อๆไปที่ต้องติดตามกันนะครับ

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

บทเรียนที่ 3 บุคคลิกภาพแห่งดาว

     นหัวข้อนี้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุคคลิกของดวงดาว ลักษณะของดาวแต่ละดวงซึ่งนำไปสู่การพยากรณ์ได้ละเอียดยิ้งขึ้นได้

     พระอาทิตย์ ถือกำเนิดจาก ราชสีห์ ดังนั้น นิสัย ท่าทาง จิตใจ ก็จะเป็นราชสีห์คือ ท่าทางเชื่องช้า เต็มไปด้วยความสง่า แข็งแรง องอาจ มีความเป็นใหญ่ในหมู่สัตว์ทั้งหลาย รักความอิสระ ไม่ชอบอยู่ใต้อำนาจใคร รักเกียรติ มีอำนาจ มีศักดิ์ รักความยุติธรรม เสียสละ ชอลแสดงความเด่นหรือปมเด่น จนเหมือนอวดเก่ง จิตใจตื่นตัวเสมอ

     พระจันทร์ ถือกำเนิดจากนางฟ้า เลยมีนิสัย จิตใจของผู้หญิงคือ อ่อนหวาน นุ่มนวล ละเมียดละไม หวั่นไหว ตื่นกลัวง่าย แสนงอน ใจน้อย ชอบช่วยเหลือทุกข์ของผู้อื่น มีอารมณ์เร็วทั้งรักและชัง ชอบคิดฝัน เชื่อง่าย อบรมสั่งสอนง่าย

     พระอังคาร ถือกำเนิดจากควาย ดังนั้นจึงแข็งแรงอดทน ทำงานหนัก พยายามสูง ขยัน ถ้าโมโหจะรุนแรงขาดการยับยั้ง ต่อต้านต่อสู้ไม่คิดชีวิต ขาดไหวพริบ มีความกล้ามากถึงขั้นบ้า รักหมู่คณะ เปิดเผยไม่มีเล่ห์กล รักการต่อสู้ ชอบทำมากกว่าคิด

     พระพุธ ถือกำเนิดจากช้าง คือเชื่อฟังคำสั่งดี ฝึกหัดอบรมง่าย เชื่องช้า สุภาพ ช่างคิด มีความทรงจำแม่นยำ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและบุคคลอื่นๆได้ง่าย มีความเป็นมิตร

     พระพฤหัส เกิดจากฤาษี อันเป็นเจ้าแห่งศิลปวิชาการ คือชอบการเรียนรู้ แตกฉานในสิ่งที่เรียนโดยง่าย มักเป็นผู้มีวิชาการ เป็นนักวิชาการ ใฝ่ในบุญกุศล โอบอ้อมอารี อดทน ชอบคิดคำนึงมากกว่าทำ ชอบสั่งสอนอบรมผู้อื่น มีสัจธรรมและคุณธรรม

     พระศุกร์ เกิดจากวัวคือ สุภาพ อ่อนน้อม ใจเย็น รักสงบสันติ เชื่อง่าย อดทน ชอบอยู่เป็นหมู่คณะ มีความระมัดระวัง ขยันในกิจการงาน ยึดถือความรักเป็นที่พึง

     พระเสาร์ เกิดจากเสือ ระมัดระวังเข้มงวด สงสัยระแวงจัด ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ช่างสังเกตุ จำจดพยาบาทรุนแรง เคลื่อนไหวช้า อดทนต่อการรอคอยโอกาส ชอบสันโดด ไม่ชอบเข้าพวก มีความพิจารณาละเอียดถี่ถ้วน ยามโกรธโหดร้ายขาดความกรุณา

     พระราหู เกิดจากหัวผีโขมด จึงมีลักษณะดุร้าย มีเล่ห์เหลี่ยมยอกย้อน มัวเมาติดหลงในอบายมุขได้ง่าย ชอบเครื่องเซ่นของกำนัล ชอบการยกย่องสรรเสริญ ขาดระเบียบ คุณธรรม และศีลธรรม
     พระเกตุ เกิดจากพญานาค ชอบแสดงอิทธิฤทธิ์ กระทำในสิ่งน่าประหลาดและมหัศจรรย์ ชอบหลบซ่อน ซุกซ่อน เร้นลับ

แต่ความหมายที่กล่าวมาทั้งหมดี้เป็นเพียงความหมายส่วนน้อยที่กำหนดจากธรรมชาติของสิ่งที่มาสร้างเป็นเทวดา ความหมายของดาวยังมีอีกมากมาย เช่น จิตใจอุปนิสัย สถานที่ สิ่งของ อวัยวะของร่ายกาย โรคภัยไข้เจ็บ เพศ อาชีพ ตัวอักษร ซึ่งเดี๋ยวจะสอนกันในบทอื่นๆ
    

บทเรียนที่ 2 สีของดาว และ ทิศของดาว

     สีของดาวเป็นสิ่งสำคัญ ในตำรานี้ท่านได้บอกไว้ว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะเกิด ศิริสวัสดิ์แก่เจ้าชะตาโดยถือเอาเสื้อผ้า เครื่องประดับตามสีที่เป็นคุณและโทษ โดยยึดถือสีตามดวงดาวที่เด่น และให้คุณในดวงชะตาเป็นหลักสำคัญ
     สีในโบราณนั้นถือเป็นสำคัญมาก แม้แต่การออกรบของพระมหากษัตริย์ก็ยังต้อง ฉลองพระองค์(แต่งกาย)ให้ถูกสีอันเป็นโฉลกดี ตามคำภีร์พิชัยสงคราม จะเกิดชัยชนะศัตรู

     ยกตัวอย่างเช่น ดาวอาทิตย์สถิตราศีเมษ ได้ตำแหน่งมหาอุจจ์เด่นในดวงชะตาและสถิตในราศีที่เป็นคุณแก่เจ้าชะตา ก็ย่อมถือเอาเครื่องประดับ อัญมณีสีแดง ยิ่งถ้าเป็นสิ่งสำคัญๆในชีวิตเช่น รถ บ้าน เสื้อผ้า เป็นต้น ซึ่งสำคัญในการเลือกสีพวกนี้มากพอสมควรดังนั้นต้องสำรวจดาวในพื้นชะตาว่าเรามีดาวอะไรเด่นในดวงชะตา และดาวนั้นสถิตภพที่ให้คุณหรือโทษประการใด

สีของดาวตามโหราศาสตร์
  1. อาทิตย์(๑)     สีทับทิม แดงเพลิง แดงชาด ระกำ แดงอิฐ
  2. จันทร์(๒)       สีเหลือง นวล ครีม เหลืองมะนาว ดอกบวบ ดอกกระดังงา
  3. อังคาร(๓)      สีชมภู กุหลาบ ปูน กลีบบัว
  4. พุธ(๔)           สีเขียว ตองอ่อน โศก เขียวมรกต สีฝรั่งดอง
  5. พฤหัส(๕)      สีแสด ส้ม หมากสุก จำปา ไพร ขมิ้น
  6. ศุกร์(๖)          สีฟ้า น้ำทะเล คราม น้ำเงิน
  7. เสาร์(๗)         สีม่วง ดอกตะแบก ดอกรัก เม็ดมะปราง เปลืองมังคุด
  8. ราหู(๘)          สีน้ำตาล ดอกพิกุล สีเทา นกพิลาป ตะกั่วตัด โกโก้ สีทราย น้ำตาลไหม้ สีฟาง
  9. เกตุ(๙)          สีทองน้ำเงิน สีเลื่อมพรายเป็นประกาย สีผสมผสาน เช่นสีรุ้ง
  10. มฤตยู(๐)       เป็นพระเคราะห์ดวงใหม่ ท่านยังไม่ได้มีการกำหนดสีไว้และเป็นดาวที่มีความหมายในทางแห่งความดับสูญและตาย จึงไม่นิยมใช้ดาวนี้เพื่อการสิริมงคล
ทิศของดาว เช่นเดียวกันกับสีคือ โบราณท่านหวังใช้เพื่อความเป็นสิริมงคลหลายประการ เช่นการเดินทัพ ท่านจะมุ่งไปสู่ทิศที่กำลังรุ่งโรจน์สดใส และให้โชคแก่ดวงชะตาเมือง หรือ ดวงชะตาแม่ทัพ และพิธีกรรมต่างๆที่พระมหากษัตริย์ทรงผินพระพักตร์เพื่อรับน้ำสรง หรือออกเรือสำเภาไปค้าขาย ก็มุ่งทิศของดาวที่เป็นการเงินและลาภผล
  1. ดาวอาทิตย์(๑)        ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
  2. ดาวจันทร์(๒)          ทิศตะวันออก
  3. ดาวอังคาร(๓)         ทิศตะวันออกเฉียงใต้
  4. ดาวพุธ(๔)              ทิศใต้
  5. ดาวพฤหัส(๕)         ทิศตะวันตก
  6. ดาวศุกร์(๖)             ทิศเหนือ
  7. ดาวเสาร์(๗)            ทิศตะวันตกเฉียงใต้
  8. ดาวราหู(๘)             ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

บทเรียนที่ 1 เรื่องกำเนิดแห่งดวงดาวพระเคราะห์ทางโหราศาสตร์โบราณ

     ตามตำรา นพเคราะห์โบราณ ได้กล่าวไว้ถึงการสร้างโลกว่า ด้วยอำนาจแห่งเทพพระศิวะ (พระอิศวร) พระองค์ได้สร้างจักรราศีบนท้องฟ้า และสร้างดาวนพเคราะห์(ดาวทั้ง 9 ดวง) ให้เป็นเทพประจำทิศทั้งแปดรอบเขาพระสุเมรุ โดยแยกเป็นดังนี้
   
มาจาก http://www.ohmsaya.com/index.php?mo=12&catid=167894

     พระอาทิตย์ ซึ่งเกิดจากราชสีห์ทั้ง 6 ตัว ทำให้เป็นผงธุลีแล้วห่อด้วยผ้าสีแดงและพรมด้วยน้ำอมฤตแล้วเกิดเป็นเทพพระอาทิตย์ มีกายสีแดง มีพาหนะคือ ราชสีห์ มีกำลังดาว 6 ธาตุไฟ(ไฟรุ่งโรจน์ ร้ายแรงถือเป็นต้นธาตุไฟ) รักษาทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 

มาจากhttp://www.ohmsaya.com/index.php?mo=12&catid=167894

     พระจันทร์ ซึ่งเกิดจากนางฟ้า 15 องค์ ทำให้เป็นผงธุลีห่อด้วยผ้าสีนวลพรมด้วยน้ำอมฤตแล้วเกิดเป็นเทพพระจันทร์ มีกายสีนวล มีม้าเป็นพาหนะ มีกำลังดาว 15 ธาตุดิน(เป็นดินชุ่มน้ำ) รักษาทิศตะวันออก


มาจากhttp://www.ohmsaya.com/index.php?mo=12&catid=167894

     
พระอังคาร ซึ่งเกิดจากควายทั้ง 8 ตัว ทำให้เป็นผงธุลีห่อด้วยผ้าสีแก้วเพทาย คือสีออกแดงๆอมชมพู พรมด้วยน้ำอมฤตเกิดเป็นพระอังคาร มีกายสีเพทาย มีควายเป็นพาหนะ มีกำลังดาว 8 ธาตุลม(ต้นธาตุลม ลมประลัยกัลป์ร้ายกาจและมีลักษณะเป็นไฟ เรียกว่าลมกรด นึกภาพเหมือนไฟเครื่องพ่นแก็สประมาณนั้น) รักษาทิศตะวันออกเฉียงใต้

มาจากhttp://www.ohmsaya.com/index.php?mo=12&catid=167894

     พระพุธ ซึ่งเกิดจากช้าง 17 เชือก ทำให้เป็นผงธุลีห่อด้วยผ้าสีเขียวมรกตพรมด้วยน้ำอมฤตเกิดเป็นเทวดาพระพุธ มีช้างเป็นพาหนะ มีกำลังดาว 17 ธาตุน้ำ(เป็นต้นธาตุน้ำ มหาสมุทร หรือน้ำในแอ่ง)รักษาทิศใต้


มาจากhttp://www.ohmsaya.com/index.php?mo=12&catid=167894

     
พระพฤหัส เกิดจากฤาษีทั้ง 19 คน ทำให้เป็นผงธุลีห่อด้วยผ้าสีแก้วไพฑูรย์ คือสีออกเหลืองอมเขียวพรมด้วยน้ำอมฤตเกิดเป็นพระพฤหัส มีกายเป็นสีไพฑูรย์ มีกวางเป็นพาหนะ มีกำลังดาว 19 ธาตุดิน(เป็นดินแข็งมั่นคง) รักษาทิศตะวันตก


มาจากhttp://www.ohmsaya.com/index.php?mo=12&catid=167894

     
พระศุกร์ เกิดจากวัวทั้ง 21 ตัว ทำให้เป็นผงธุลีห่อด้วยผ้าสีประภัสสร คือสีเลื่อมพราย เหมือนแก้วผลึก หรือฟ้าใสๆ แล้วพรมด้วยน้ำอมฤตเกิดเป็นเทพพระศุกร์ มีพาหนะคือวัว มีกำลังดาว 21 ธาตุน้ำ(มีกระแสธาตุน้ำทิศเหนือสูงสุด จึงถือเป็นน้ำฝน) รักษาทิศเหนือ


มาจากhttp://www.ohmsaya.com/index.php?mo=12&catid=167894

     
พระเสาร์ เกิดจากเสือทั้ง 10 ตัว ทำให้เป็นผงธุลีห่อด้วยผ้าสีดำ พรมด้วยน้ำอมฤตเกิดเป็นเทวดาพระเสาร์ มีเสือเป็นพาหนะ มีกำลังดาว 10 ธาตุไฟ(ไม่มีเพลิงแต่เป็นไฟเหมือนในถ่านร้อนสุมละลายทุกสรรพสิ่ง) รักษาทิศตะวันตกเฉียงใต้


มาจากhttp://www.ohmsaya.com/index.php?mo=12&catid=167894
     พระราหู เกิดจากหัวผีโขมด(เฉพาะหัวนะครับ) 12 หัว เอามาทำเป็นผงธุลีห่อด้วยผ้าสีทองสัมฤทธิ์พรมด้วยน้ำอมฤตเกิดเป็นเทพพระราหู มีพาหนะเป็นครุฑ(ไม่ใช่มีแต่พระนารายณ์นะครับ) มีกำลังดาว 12 ธาตุลม(เป็นปลายธาตุลมคือ ไม่มีเปลวเพลิงเหมือนพระอังคาร คงเหลือไว้แต่ลมเฉยๆ แต่คงความรุนแรงเป็นพายุเหมือนเดิม) รักษาทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
    ประวัติเทวกำเนิดกล่าวไว้ว่า พระเกตุ เกิดจากตำนานเรื่องการทำน้ำอมฤตให้เทวดาไว้ดื่มกิน แต่พระราหูทรงแปลงกายมาเป็นเทวดาเพื่อที่จะดื่นกินน้ำอมฤตด้วย เมื่อพระนารายณ์จับได้ก็ขว้างอาวุธ คือ"จักร" ตัดกายของพระราหูขาดเป็นสองท่อนแต่ด้วยอำนาจแห่งน้ำอมฤตทำให้พระราหูไม่ตาย ส่วนหางนั้นกระเด็นไปในอากาศ เรียกว่าพระเกตุ (รูปพระราหูเป็นสองนัย คือ นัยหนึ่งเป็นแพศย์ ดุร้ายหน้าตาคล้ายยักษ์ มีหางเป็นงู กายสีทองสัมฤทธิ์ อีกนัยหนึ่งเป็นแพศย์ คล้ายยักษ์เพียงครึ่งตัวกายสีทองสัมฤทธิ์เช่นกัน)

มาจากhttp://www.ohmsaya.com/index.php?mo=12&catid=167894

     พระเกตุ เกิดจากพระยานาคา(พญานาค) 9 ตัวทำให้เป็นผงธุลีห่อด้วยผ้าสีทองคำพรมด้วยน้ำอมฤต เกิดเป็นเทพพระเกตุ มีกายสีทองคำ อลังการ มีพาหนะเป็น นาค มีกำลังดาว 9 ไม่มีธาตุนะครับ และไม่ได้ประจำอยู่ทิศใด

    ดาวมฤตยู เป็นพระเคราะห์สมัยใหม่ ยังไม่ได้มีคำภีร์ใดกล่าวเอาไว้

ภาพจาก ไอคิวสยามครับ http://www.iqsiam.com/?p=3228


จากรูปตารางทักษานี้เราจะได้เห็นว่าทิศ่ของเทวดาทั้ง 9 นั้นเป็นไปตามตารางทักษาซึ่งสามารถนำมาใช้ผนวกการพยากรณ์ให้ลึกลงไปได้อีกครับ

 

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559

หลักโหราศาสตร์

     หลักโหราศาสตร์นั้นมีอยู่มากมายหลากหลายตำราเรียนที่มีอยู่ทั่วไป ทั้งโหราศาสตร์ไทยและสากล แต่ในบทเรียนตำราโหราศาสตร์ของท่าน อ.อรุณ ลำเพ็ญ นี้จะเป็นโหราศาสตร์ไทย ซึ่งใช้ดวงดาวทั้งหมด 10 ดวงในการพยากรณ์ ส่วนดาวที่เหลือท่านให้เหตุผลว่ายังโคจรไม่ครบรอบวงโคจรของทุกดวงดาว ดังนั้นในระบบนี้จึงมิได้ใช้ดวงดาวเช่น เนปจูน พูลโต เป็นต้น ดาวที่ใช้ในการพยากรณ์มีดังนี้
  1. ดาวอาทิตย์
  2. ดาวจันทร์
  3. ดาวอังคาร
  4. ดาวพุธ
  5. ดาวพฤหัสบดี
  6. ดาวศุกร์
  7. ดาวเสาร์
  8. ราหู
  9. เกตุ
  10. มฤตยู
     ซึ่งในระบบตำราเล่มนี้จะใช้เพียงดาวเท่าที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด 10 ดวง ซึ่งจะมีดาวจริงๆอยู่ในระบบสุริยะจักรวาลเพียง 8 ดวงที่ไม่มีดาวแต่ถือว่ามีความสำคัญตามสถิติที่โบราณอาจารย์ท่านได้คำนวณแล้วว่ามีอิทธิพลจริงๆคือ ดาวราหู และ ดาวเกตุ และมีการบันทึกเก็บสถิติเอาไว้และนำมาพยากรณ์ปรากฏว่ามีผลเป็นไปตามคำพยากรณ์จึงใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

     ในระบบโหราศาสตร์นี้จะให้ความสำเร็จของดาวที่เรียกว่า แฝงเรือนเกษตรหรือดาวเกษตรมีน้ำหนักมากกว่า ดาวที่ทำมุมเล็งกันหรือตรีโกณกันนั้นเองด้วยเหตุผลที่ดาวนั้นมีอำนาจถึงกันโดยตรงกว่านั้นเอง และในระบบนี้ จะใช้ "ดาวราหู" เป็นเกษตรประจำราศีกุมภ์ และไม่มีเรื่องขององศาของดาวเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ประการใด แต่สำหรับคนที่เข้ามาศึกษานั้นสามารถที่จะนำไปต่อยอดหรือเอาไปใช้เพิ่มเติมได้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแต่ละท่าน โดยของผมเองก็หวังว่าท่านที่เข้ามาศึกษานี้จะไม่ปิดกั้นภูมิความรู้โดยรับไว้ทั้งหมดและเลือกเฉพาะที่เราชอบก็อาจจะเป็นการดีกว่าที่เราไปปิดกั้น ซึ่งอาจจจะทำให้เกิดทัศนะคติที่ไม่ดีไป

     จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้พยากรณ์ไปไม่มากเท่าที่ใช้วิชาจากตำราเล่มนี้นับว่าแม่นยำพอสมควร แต่มันมีองค์ประกอบในเรื่องของบุญและกรรมมาเกี่ยวข้องด้วย อันเนื่องจากเหตุผลที่ว่าอารมณ์ของเราเป็นตัวกำหนดการกระทำ ดังนั้นสิ่งที่กำหนดอารมณ์ของคนเราก็คือ บุญและกรรม หรือ ความละอายต่อบาปนั้นเอง ซึ่งในตำราเล่มนี้เองก็เช่นกันเพราะได้ให้ความสำคัญกับดาวจิตใจที่เรียกกันในภาษาโหรว่า "ตนุเศษ" ซึ่งเป็นอารมณ์ของเจ้าชะตาโดยตรงและมีผลต่อการกระทำเป็นอันมาก ดังนั้นด้วยเหตุผลนี้ผมจึงเชื่อว่า บุญและบาป จึงมีผลต่อดวงชะตานั้นเอง

คำนำ

     ล็อกนี้ถูกสร้างมาเพื่อเผยแพร่วิชา โหราศาสตร์ไทย ฉบับท่านอาจารย์ อรุณ ลำเพ็ญ หรือ หมอเถาวัลย์ ซึ่งได้โหลดตำราที่มีให้โหลดในกูเกิ้ล โดยผู้ที่จัดทำตำราขึ้นนั้นทำให้ผู้ที่สนใจได้โหลดกันฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในคนทั่วไปที่สนใจวิชาโหราศาสตร์เช่นเดียวกัน จึงศึกษาสายวิชาตำรานี้อย่างจริงจังเพื่อหวังว่าจะสามารถนำมาใช้ประโยนช์ในชีวิตประจำวันได้ และหวังว่าทุกท่านที่เข้ามาอ่านจะได้รับความรู้ไม่มากก็น้อย เพื่อไปต่อยอดหรือใช้ในประโยชน์ของแต่ละท่านต่อไป ซึ่งตัวผู้จัดทำนี้เองก็เป็นเพียงสื่อในการที่จะเผยแพร่ตำราสายวิชานี้จากหนังสือตำราที่โหลดมาและจากประสบการณ์อื่นๆที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมจากที่อื่นเข้าประกอบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่อ่านทุกท่านจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

     ละผมขออุทิศบุญกุศลในการจัดทำบล็อกนี้ให้แก่ ท่านอาจารย์ อรุณ ลำเพ็ญ ผู้เป็นอาจารย์ทางตำราเรียนเล่มนี้ และคณะผู้จัดทำทั้งหลายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียบเรียงให้เป็นหนังสือขึ้นมา ซึ่งทำให้ผมได้ค้นคว้าศึกษาตำรานี้ได้จากอินเตอร์เน็ต ขอบคุณกูเกิ้ลและโลกออนไลน์ที่ทำให้ผมได้มาเจอตำรานี้ที่อ่านและเข้าใจได้ง่าย ขอบคุณบล็อกเกอร์ที่สร้างพื้นที่ให้ผมได้ทำสิ่งที่อยากทำอยากเผยแพร่